งานวิจัยของญี่ปุ่นฉบับที่ตีพิมพ์ในนิว ไซ แอนติสต์ โดย ฮิโรชิ โอกูโระ มหาวิทยาลัยฮิโรซากิ (นายคนนี้น่าจะไม่ได้ค่าโฆษณา จากผงชูรสนามว่าคุณ อายิแบ่งหนูทดลองเป็น 3 กลุ่ม
กลุ่มแรก กินผงชูรสมากๆ
กลุ่มสอง กินปานกลาง
กลุ่มสาม ไม่กินผงชูรสเลย
ปรากฏว่าหนูกลุ่มแรกมีปัญหาตามองไม่เห็นและเยื่อจอตาซึ่งมีหน้าที่รับภาพ บางลงไป 75% และผลทดสอบปฏิกิริยาต่อแสงปรากฏว่าหนูมองไม่เห็นเลย ส่วนหนูที่กินผงชูรสปานกลางมีความเสียหายเช่นกัน แต่ไม่มากเท่ากลุ่มแรก
(งานวิจัยชิ้นนี้เป็นชิ้นต่อ จากงานวิจัยเดิมซึ่งฉีดผงชูรสเข้าตาสัตว์ทดลองโดยตรง ทำให้ประสาทตาเสียหาย --งานนี้อย่าว่าแต่หนูเลย คนทดลองเอง ก็น่าจะฉีดเข้าตาตัวเอง คงบอดตั้งแต่ โดนเข้าไปเข็มแรกแล้ว )
งานชิ้นนี้ถือว่าเป็นชิ้นแรกที่แสดงให้เห็นว่าผงชูรสที่รับจาก การกิน ก่อผลให้ตาบอดได้เช่นเดียวกัน
นักวิจัยอธิบายว่า ผงชูรสซึมซ่านเข้าไปอยู่ในน้ำหล่อเลี้ยงจอตา เกาะอยู่ที่นั่นและทำลายจอตาไปในที่สุด ทั้งยังมีผลก่อกวนการทำงานของเซลล์ที่ยังเหลืออยู่ในการส่งสัญญาณภาพไปยังสมองอีกด้วย เขาระบุว่า อาหารที่มีปริมาณผงชูรส 20% ถือว่าเป็นสัดส่วนสูงเป็นอันตราย ขณะเดียวกัน แม้จะกินในปริมาณน้อย มันอาจจะสะสมเป็นเวลานานนับ สิบปีก่อนออกฤทธิ์ในภายหลัง
นักวิจัยอธิบายว่า ผงชูรสซึมซ่านเข้าไปอยู่ในน้ำหล่อเลี้ยงจอตา เกาะอยู่ที่นั่นและทำลายจอตาไปในที่สุด ทั้งยังมีผลก่อกวนการทำงานของเซลล์ที่ยังเหลืออยู่ในการส่งสัญญาณภาพไปยังสมองอีกด้วย เขาระบุว่า อาหารที่มีปริมาณผงชูรส 20% ถือว่าเป็นสัดส่วนสูงเป็นอันตราย ขณะเดียวกัน แม้จะกินในปริมาณน้อย มันอาจจะสะสมเป็นเวลานานนับ สิบปีก่อนออกฤทธิ์ในภายหลัง
นายโอกูโระกล่าวว่า ผลวิจัยชิ้นนี้อาจอธิบายว่าทำไมคนในแถบเอเชียตะวันออกถึงเป็นโรคต้อหินในอัตราที่สูง โดยเฉพาะวัยที่ขึ้นต้นด้วยเลขสี่ รู้อย่างนี้แล้ว ระวังไว้ก่อนดีต่อสุขภาพ ทานในปริมาณที่น้อยจะดีกว่าค่ะ
credit: rukbankerd, www.oknation.net
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น