โดย “การอ่านอย่างสม่ำเสมอ” เป็นหนึ่งในการพัฒนาสุขภาพจิตที่ดีวิธีหนึ่ง
แถมเป็นสิ่งใกล้ตัวด้วย เพราะไม่เพียงความผ่อนคลายที่ได้รับเท่านั้น
ยังอาจค้นพบแรงบันดาลใจ ตลอดจนความคิดสร้างสรรค์ มุมมองทางออกใหม่ ๆ ส่วน “การเขียน” อย่าง
การบันทึกไดอารี่นั้น หลายคนอาจใช้เป็นช่องทางการระบายความรู้สึก หรือ
อุปสรรคปัญหาที่พบในแต่ละวัน ก็เป็นแนวทางหนึ่งที่ช่วยบรรเทาความเครียด
และความกดดันในใจได้ดี เมื่อความว้าวุ่นคลายลงแล้ว
ทำให้มองปัญหาอย่างรอบคอบรอบด้านมากขึ้นด้วย
หรือ “การเรียนรู้ทักษะใหม่ ๆ” อาจเริ่มง่าย ๆ จากเรื่องที่สนใจ
เช่น การทำอาหาร ศึกษาภาษาต่างประเทศเพิ่มเติม เล่นกีฬา ปลูกต้นไม้ ฯลฯ
ซึ่งการพยายามก้าวผ่านความท้าทายใหม่ ๆ นี้จนสำเร็จ
ไม่เพียงความสุขในใจที่รู้สึกได้ แต่ยังก่อให้เกิดความภูมิใจ
และรู้สึกดีกับตัวเองด้วย
นอกจากนั้น “การออกกำลังกายเป็นประจำ” อย่างน้อยสัปดาห์ละ
3 วัน วันละไม่ต่ำกว่า 30 นาที
ช่วยเพิ่มออกซิเจนในเลือด ระบบหมุนเวียนโลหิตดีขึ้น เกี่ยวกับประเด็นนี้
เคยมีการศึกษาของแผนกจิตวิทยาจากต่างประเทศ ศึกษากลุ่มตัวอย่างเพศชาย
ช่วงอายุวัยรุ่น พบว่า หลังการออกกำลังกาย มีการตอบสนองในด้านสมาธิ คิด และจดจำได้ดีกว่าผู้ที่ไม่ออกกำลังกาย
ขณะเดียวกัน ยังดีต่อสุขภาพจิต โดยขณะออกกำลังกาย ร่างกายจะหลั่งสารเอ็นโดรฟิน
ทำให้รู้สึกสดชื่น ช่วยลดความเครียด คลายกังวล แต่ที่สำคัญ ไม่ควรหักโหมจนเกินไป
เนื่องจากอาจทำให้กล้ามเนื้อบาดเจ็บได้
ขณะที่ “การนั่งสมาธิ” ก็ถือเป็นทักษะฝึกใช้คลายเครียดที่น่าสนใจ
ซึ่งมีงานวิจัยรองรับมาแล้วว่าปฏิบัติประจำช่วยป้องกันความเครียด
ช่วยให้หายเร็วขึ้น หรือ ความเครียดส่งผลกับจิตใจน้อยลง
แหล่งที่มา : เดลินิวส์ออนไลน์
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น